วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2559

วิธีต่างๆในการเทรด Forex

วิธีต่างๆในการเทรด Forex



            มันมีหลายวิธีมากในการเทรด Forex หรือตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราแห่งนี้ แม้ว่าวิธีการเทรดจะแตกต่างกัน แต่ทุกวิธีการนั้นมีเป้าหมายเดียวกันคือ แสวงหากำไร ในบทความนี้จะกล่าวถึงวิธีการเทรดหลักๆที่นิยมกันมากในตลาด Forex

  1. Day trading
            เป็นลักษณะการเทรดรูปแบบซื้อและขายจบในวันนั้น โดยอาศัยเครื่องมือทาง Technical หรือการใช้ข่าวในการประกอบการเทรด ซึ่งการเทรดรูปแบบนี้ต้องอาศัยทักษะขั้นสูงในการเทรด ต้องมีไหวพริบ และความรวดเร็วในการตัดสินใจ ถ้าเทรดเดอร์ท่านไหนที่พึ่งจะเข้ามาเทรดในตลาด Forex ไม่นาน แนะนำว่าอย่าพึ่งรีบเข้ามาเทรดสไตล์นี้ เพราะเนื่องจากการเทรดลักษณะนี้ต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญอย่างมาก

  1. Scalping
            วิธีการเทรดที่เน้นกินคำเล็กๆ แต่กินบ่อยๆ จะคล้ายๆกับ Day-trading แต่จะแตกต่างที่วิธีการเทรด การ Day trading สามารถถือรันเทรนในวันได้ แต่ Scalping นั้นมักจะไม่รันเทรน จะเน้นเก็บกำไรเล็กๆน้อยๆ

  1. Big picture trading
            เป็นลักษณะเล่นรอบ กำหนดขนาด Time frame ที่ใหญ่ขึ้นมา โดยมักดูภาพรายวัน และรายสัปดาห์ในการเทรด ซึ่งจะเทรดไม่บ่อย แต่เน้นกินคำใหญ่ๆ กินเป็นรอบๆ ซึ่งการเทรดสไตล์สามารถลงรายละเอียดได้รายวิธีทั้ง Mean reversion , Trend follow และ อื่นๆ

  1. Automated trading
            การใช้คอมพิวเตอร์ในการเทรด โดยเทรดเดอร์ไม่จำเป็นต้องส่งคำสั่งเอง แต่จะผ่านการเขียนโปรแกรมให้สั่งคำสั่งตามที่เราเขียนไว้ โดยมักได้ยินกันในชื่อ “EA” หรือ Expert advisor ใน MT4 และ MT5
ซึ่งปัจจุบันการการเทรดรูปแบบได้รับความนิยมอย่างมาก

            อย่างไรก็ดี ตามที่กล่าวไว้ในช่วงต้นว่า แม้วิธีการเทรดนั้นจะแตกต่างกัน แต่สุดท้ายแล้วเป้าหมายทุกวิธีการนั้นเหมือนกันคือ แสวงหากำไร โดยการที่จะทำกำไรจากตลาดแห่งนี้นั้นบอกเลยไม่ง่าย เทรดเดอร์ต้องมีการวางแผนการเทรด ต้องทำการบ้าน ต้องเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม ต้องกำหนดความเสี่ยงให้ดี ดังนั้นเป็นหน้าที่ของเทรดเดอร์ทุกท่านที่จะต้องฝึกฝนสไตล์การเทรดของตัวเองให้ดี ทำให้มันแข็งแกร่ง เพื่อที่จะสร้างกำไรจากตลาดแห่งนี้


ทีมงาน : pantipforex.com

บทเรียนความร่ำรวย ของมังกรตัวแรกของจีนแผ่นดินใหญ่ “ลี กาชิง”


บทเรียนความร่ำรวย ของมังกรตัวแรกของจีนแผ่นดินใหญ่ “ลี กาชิง”

ลี กาชิง (Li Ka-shing)
มังกรผงาดตัวที่ 1

อาจได้ยินชื่อ Jack Ma มาเยอะสมควรในช่วงนี้ แต่ก่อนหน้าที่ Jack Ma จะขึ้นเป็นมหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของจีนนั้น ก่อนหน้านี้มีบุคคลที่ร่ำรวยมหาศาลก่อนหน้านั้นก็คือ ลี กาชิง หากเปรียบเทียบกันก็จะกล่าวได้ว่า ลี กาชิง เป็นมังกรตัวที่ 1 ส่วน Jack Ma เป็นมังกรตัวที่ 2 ของจีน

ชีวิต ลี กาชิง เริ่มต้นจาก 0 ครอบครัวอพยพมาจากจีนแผนดินใหญ่เพื่อมาเริ่มชีวิตใหม่ที่ฮ่องกง กำพร้าพ่อตั้งแต่อายุ 11 ปี ต้องออกจากโรงเรียนกลางคันเพื่อช่วยดูแลแม่และครอบครัว

เขาเป็นคนที่หนักเอาเบาสู้มาก เป็นทั้งกรรมกรแบกหาม ค่อยๆก้าวไปเป็นพนักงานในโรงงานพลาสติดแล้วเก็บหอมรอมริบตั้งโรงงานพลาสติกของตัวเองได้ตั้งแต่ก่อนอายุ 30 ปี ต่อมาก็เริ่มต่อยอดทางธุรกิจออกไปหลากหลาย ทั้งธุรกิจท่าเรือ การสื่อสารโทรคมนาคม พลังงาน อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่ธุรกิจดอกไม้พลาสติกในอเมริกา ก็ยังมีชื่อของเขาเป็นเจ้าของกิจการ

เขาโดดเด่นเรื่องการลงทุน ไม่ใช่เพราะเขาโชคดี แต่เพราะแนวคิดการลงทุนที่เริ่มจากชีวิตของตัวเองก่อน เขาให้บทเรียนสอนเด็กๆ รุ่นใหม่เอาไว้ในการสร้างตัวเองขึ้นมาให้พ้นจากความยากจน โดยเริ่มที่การแบ่งรายได้เป็นส่วนๆ ก่อน

“… สมมติว่าคุณมีรายได้แค่เดือนละ 2,000 หยวน (1 หยวนประมาณ 5 บาท) คุณยังคงมีชีวิตที่ดีได้ ผมแนะนำให้คุณแบ่งเงินเป็น 5 ส่วน ส่วนแรก 600 หยวน ส่วนที่สอง 400 หยวน ส่วนที่สาม 300 หยวน ส่วนที่สี่ 200 หยวน และส่วนที่ห้า 500 หยวน

ส่วนแรก 600 หยวน : เงินส่วนแรกให้ใช้สำหรับการครองชีพ อยู่อย่างเรียบง่ายโดยมีงบให้ใช้ไม่เกิน 20 หยวนแต่ละวัน มื้อเช้าให้รับประทานหมี่ ไข่ และนม มื้อกลางวันอาหารจานเดียว ขนม และผลไม้ เมื้อเยนทำกินเองให้มีกับข้าวเป็นผักสองจาน ตบท้ายด้วยนมก่อนนอน ถ้าทำแบบนี้ได้ ทั้งเดือนจะใช้เงินค่าอาหารประมาณ 500-600 หยวน เมื่อยังอายุไม่มากการกินอยู่แบบนี้ไม่เป็นปัญหาต่อสุขภาพ

เงินสอนที่สอง 400 หยวน : เอาไว้สร้างเพื่อน สร้างเครือข่ายซึ่งจะช่วยคุณก้าวหน้าแบ่งเป็นค่าโทรศัพท์ 100 หยวน เลี้ยงข้าวกลางวันเพื่อนบ้างเดือนละ 2 ครั้ง ครั้งละ 150 หยวน
การจะเลี้ยงหรือคบใครจำไว้ว่า “ให้เลี้ยงข้าวคนที่มีความรู้มากกว่าคุณ ฐานะดีกว่าคุณ หรืออาจเป็นคนที่เคยช่วยเหลือคุณมาแล้วในเรื่องการงาน” จงทำให้ได้ทุกเดือน พอครบปีเครือข่ายเพื่อนคุณจะสร้างประโยชน์มาก ชื่อเสียง บทบาท และคุณค่าของคุณจะประจักษ์ชัดมากขึ้น คนจะระลึกถึงคุณในทางที่ดี

เงินส่วนที่สาม 300 หยวน : สำหรับการเรียนรู้ เตรียมไว้ 50 ถึง 100 หยวน เพื่อซื้อหนังสือ เพราะตอนนี้คุณยังไม่ร่ำรวยคุณต้องใส่ใจกับการเรียนรู้ เมื่อซื้อหนังสือแล้วให้อ่านอย่างตั้งใจ เรียนรู้บทเรียนและกลยุทธ์ที่แกะได้ เมื่อจบแต่ละเล่มแล้วคุณควณสามารถอธิบายเล่าเรื่องด้วยภาษาของตัวเองได้

ที่สำคัญอย่าลืมแบ่งปันเรื่องนั้นแก่ผู้อื่น มันจะสร้างความน่าเชื่อถือและเสน่ห์ในตัวคุณและเพื่อน อย่าลืมกันไว้สัก 200 หยวน เพื่อเข้าอบรมความรู้อะไรสักอย่าง และต่อไปถ้ามีรายได้มากขึ้นก็ให้เข้าอบรมในหลักสูตรกี่ก้าวหน้ามากขึ้นได้ การเข้าอบรมนอกจากจะได้ความรู้แล้ว ยังได้โอกาสพบเพื่อนที่มีความสนใจคล้ายๆ กัน ซึ่งหาที่อื่นไม่ได้ง่ายๆ ด้วย

เงินส่วนที่สี่ 200 หยวน : สำหรับไปท่องเที่ยงต่างประเทศ ให้รางวัลตัวเอง โดยการเดินทางอย่างน้อยปีละครั้ง ประสบการณ์ที่ได้สั่งสมจะทำให้ตัวเองเติบโตมากขึ้น อาศัยที่พักราคาประหยัก ภายในไม่กี่ปีคุณจะได้เดินทางและสะสมประสบการณ์ไปมากมาย มันจะเป็นแรงผลักสร้างพลังในการทำงานให้ตัวเอง

เงินส่วนที่ห้า 500 หยวน : เอาไว้สะสมไว้ลงทุนทำธุรกิจ เริ่มที่เล็กๆก่อน มันค่อนข้างปลอดภัย โดยการไปที่แหล่งขายส่งเพื่อหาสินค้ามาขาย ถึงจะขาดทุนบ้างก็จะขาดทุนไม่มาก แต่ถ้าเริ่มกำไรแล้วมันจะสร้างความมั่นใจและความกล้าที่จะทำธุรกิจต่อไป
การเข้าโลกธุรกิจมันจะสอนให้คุณรู้ว่าต้องทำอย่างไร เมื่อมีรายได้มากขึ้นก็ให้แบ่งเงินไปลงทุนที่ให้ระยะยาวมากขึ้น เป็นทุนสะสมสำหรับคุณและครอบครัวภายหลัง จะเป็นสิ่งรับประกันความมั่งคั่งและคุณภาพชีวิตในอนาคต

ถ้ากัดฟันทำอยู่หนึ่งปีแล้วรายได้คุณยังไม่เพิ่มขึ้น แสดงว่าคุณยังไม่พัฒนา ควรละอายแก่ใจ ไปซื้อเต้าหู้ที่ตลาดมาปาใส่หัวตัวเองเพราะคุณสมควรโดนแบบนั้นจริงๆ 
ถ้ารายได้คุณเพิ่มขึ้นมาเป็น 3,000 หยวน คุณก็ยังต้องทำงานหนักอยู่ดี และพยายานหางานนอกเวลา ถ้าเป็นงานขายจะดีมากเลยเพราะการขายเป็นสิ่งท้าทาย แต่ทำให้คุณเรียนรู้ได้เร็วที่สุดในการเป็นผู้ประกอบการ

ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จต้องเป็นนักขายเสมอ ต้องขายความฝันและวิสัยทัศน์ตัวเองได้ คุณจะพบผู้คนมากมายที่จะเป็นประโยชน์กับคุณภายหลัง คุณจะเข้าใจด้วยว่าอะไรขายได้ อะไรขายไม่ได้ ความสามารถในการเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้งจะเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับธุรกิจและการมองเห็นสินค้าตัวเด็ดในอนาคต

พยายานประหยัดเครื่องแต่งกายและรองเท้า เพราะของพวกนี้เอาไว้ซื้อมากเท่าไร่ก็ได้เมื่อเรารวยแล้ว ซื้อของขวัญให้คนที่คุณรักและบอกให้เขารู้ถึงแผนการและเป้าหมายเหล่านี้ ให้เขาเข้าใจว่าทำไมคุณตระหนี่ คุณพยายามอย่างไร และกำลังฝันอะไรอยู่

อย่าลืมว่านักธุรกิจต้องการความช่วยเหลือเสมอ จงเสนอตัวเข้าไปช่วงในงานนอกเวลาโดยไม่เกี่ยงงาน นี่จะช่วยให้เป้าหมายและทักษะคุณดีขึ้น คุณจะมีความคล่องแคล่วและเข้าใกล้จุดหมายขึ้นเรื่อยๆ ภายในปีที่สองรายได้ควรเพิ่มเป็น 5,000 หยวน หรืออย่างน้อย 3,000 หยวน ไม่เช่นนั้นจะหนีเงินเฟ้อไม่ทัน

ไม่ว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเท่าไร่ อย่าลืมแบ่งเป็น 5 ส่วนนี้เสมอ ทำตัวให้มีค่า เพิ่มการลงทุนในการสร้างเครือข่าย เวลาลงทุนสร้างสังคม ขยายกลุ่มผู้คนที่รู้จัก รายได้คุณจะเติบโตตามไปด้วย ลงทุนในการเรียนรู้ สร้างความมั่นใจให้ตนเอง ขยายโลกทรรศน์ของคุณ ลงทุนเพื่ออนาคต มันจะช่วงเพิ่มรายได้ให้ในที่สุด

จงรักษาสมดุลเหล่านี้ไว้ ในที่สุดคุณจะค่อยๆ สะสมความมั่งคั่ง นี่เหละการวางแผนชีวิตที่งดงาม ร่างกายคุณจะดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้รับอาหารและการดูแลที่ดี เพื่อจะมีเหลือใช้และสร้างเครือข่ายที่มีค่ามากขึ้นไปด้วย คุณจะอยู่ในฐานะที่สามารถรับการเรียนรู้ระดับสูงได้ และจะเข้าถึงโอกาสใหญ่ๆ งานใหญ่ๆ ในที่สุด และคุณก็จะสามารถไขว่คว้าสิ่งทีฝันไว้ บ้านของคุณเอง รถ และทุนการศึกษาให้ลูกๆ 

คุณออกแบบชีวิตเองได้ อาชีพก็วางแผนได้ ความสุขก็ตระเตรียมได้ คุณต้องเริ่มวางแผนตั้งแต่บัดนี้ เวลายังจนอยู่ให้ใช้เวลาในบ้านน้อยกว่านอกบ้าน พอรวยแล้วให้ใช้เวลาในบ้านมากกว่านอกบ้าน มันเป็นศิลปะของชีวิต เวลาจนให้ใช้เงินกับคนอื่น เวลารวยให้ใช้เงินเพื่อตัวเอง แต่หลายคนกลับทำตรงข้าม

เวลายังจนให้ทำดีให้คนอื่น อย่ามัวจับจดงกน้ำใจ เวลารวยแล้วต้องรู้จักให้คนอื่นทำดีให้เรา ดูแลตัวเองให้ดีขึ้น เวลาจนให้เสนอตัวให้คนอื่นใช้ประโยชน์เยอะๆ เวลารวยแล้วให้ถนอมรักษาตัว ไม่ให้คนมาใช้ประโยชน์ง่ายๆ นี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่หลายคนไม่เข้าใจ 
เวลายังจน ให้เงินต้องให้คนเห็น เวลารวยแล้วอย่าอวดรายใช้เงินกับตัวเองแบบเงียบๆ อย่าเป็นคนสุรุ่ยสุร่ายชีวิตมันบริบูรณ์แล้วเข้าสู่ความพอเพียง มันเป็นเวลาที่สงบสุข

ไม่ใช้เรื่องแปลกที่เรายังหนุ่มสาวอยู่ และยังไม่รวย คุณต้องรุ้จักลงทุนให้ตัวเองและเพิ่มความปราดเปรื่องและสร้างสถานภาพ คุณต้องรู้ว่าอะไรสำคัญต่อชีวิตและอะไรควรลงทุน คุณก็ต้องรู้ด้วยว่าควรหลีกเลี่ยงอะไร ไม่ควรใช้เงินตรงไหน

ความมีวินัยมันสำคัญตรงนี้ พยายาวเลี่ยงการใช้เงินไปกับเสื้อผ้า แต่ซื้อเพียงไม่กี่ชิ้นที่มีค่าจริงๆ รับประทานอาหารนอกบ้านให้น้อย ถ้าเป็นมื้อนอกบ้านเมื่อไร่ คุณต้องแน่ใจว่าคุณเป็นคนจ่ายค่าอาหารเองและถ้าจะเลี้ยงคนอื่น ให้เลี้ยงคนที่ฝันใหญ่กว่าเราและทำงานหนักกว่าเราเสมอ

เมื่ออยู่ดีกินดีได้แล้ว ก็ใช้เงินที่เหลือในการล่าฝันที่วาดไว้ กล้าฝันกล้าทำ “จงมีชีวิตที่ไม่ธรรมดา”

เขาศึกษากันที่ฮาวาร์ดว่า ชะตาชีวิตที่แตกต่างกันนั้นอยู่ที่แต่ละคนใช้เวลาว่างในช่วง 2 ถึง 4 ทุ่มอย่างไร จงใช้เวลาช่วงนี้สำหรับการเรียนรู้ การคิด รับคำสอนหรือการสนทนาที่มีแก่นสาร ถ้าคุณต่อเนื่องกันหลายๆปี ความสำเร็จมันมายืนรอข้างหน้าแล้ว
ไม่ว่าจะมีรายได้เท่าไร่ จำไว้ว่าให้แบ่งเงินเป็น 5 ส่วน ดูแลร่างกายตัวเองให้มีสุขภาพดี ลงทุนกับสังคมเครือข่ายเพื่อจะได้รู้จักผู้คนใหม่ๆ ให้เราได้เรียนรู้เสมอ และมันจะส่งผลต่อโอกาสในการหารายได้อีกด้วย จงท่องเที่ยงทุกปีเพื่อเปิดโลกทรรศน์ ติดตามโลกธุรกิจและอุตสาหกรรมให้ทัน ทำแบบนี้อย่างไม่ย่อหย่อนและคุณจะเห็นทุนตัวเองเติบโตในไม่ช้า

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอดีตมันจบไปแล้ว อย่างหลงติดกับความผิดพลาดในอดีต ไม่มีประโยชน์ที่จะไปร้องไห้เมื่อนมมันหกไปแล้ว ทุกคนพลาดได้ทั้งนั้น คุณได้เรียนรู้อะไรจากมันและจะไม่ทำผิดพลาดแบบนั้นอีกได้อย่างไรต่างหาก ถ้าพลาดโอกาสใด อย่ามัวโหยให้เศร้าโศก มันมีโอกาสใหม่เกิดขึ้นเสมอ

ถ้าสามารถยิ้มได้ขณะที่ถูกคนอื่นเข้าใจผิด แสดงว่าคุณถูกเลี้ยงดูมาดี ถ้าโดยกล่าวโทษแล้วยังยิ้มได้อย่างสุขุม นี่คือคนใจอารี ถ้าถูกเอาเปรียบแล้วยังยิ้มได้ นี่ใจกว้าง เวลาจนตรอกแล้วยังยิ้มรับได้นี่คือสุขุม หัวเราะได้ขณะอยู่ในวิกฤตก็ใจอารี ถ้าถูกดูถูกแล้วยังยิ้มได้อย่างสุขุมคือมีความเชื่อมั่น ถ้าถูกทิ้งแล้วยังยิ้มได้ นี่แหละคือคุณเป็นคนเข้มแข็งและหัวใจหล่อมาก

“โอกาสทองของผมก็คือการจ้องซื้อของถูกแล้วเอาไปขายแพง ผมโชคดีที่มองอะไรไม่ค่อยพลาด สิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น ผมจะเห็นคุณค่าของสิ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการดูคน การคบคน การดูที่ดิน การมองทำเล ผมกว้านซื้อเฉพาะของที่ราคาตก ทุกคนจะมองว่าผมเสี่ยง แต่ทุกครั้งที่เสี่ยงผมไม่เคยขาดทุน”

...บทเรียนของมังกรตัวแรกแห่งจีนแผ่นดินใหญ่ “ลี กาชิง”...

จากหนังสือ : - Jack Ma คนธรรมดาที่กลายเป็นมหาเศรษฐีโลกในพริบตา -

ทีมงาน : pantipforex.com

แนวคิด 3 M

แนวคิด 3 M


ถือว่าเป็นหลักการพื้นฐานในการเทรดเลยก็ว่าได้ที่ว่า จะประสบความสำเร็จในการเทรดได้นั้นต้องประกอบด้วย 3M คือ

M1 – Method (วิธีการเทรด)
M2 – Money management (การจัดการความเสี่ยง)
M3 – Mindset (จิตวิทยา)

ซึ่งเสา 3 ต้นนี้ถือเป็นเสาหลักที่คอยค้ำจุนพาให้เทรดเดอร์ไปสู่เป้าหมาย หากขาดเสาต้นใดต้นหนึ่งไป การเทรดก็จะพัง ไม่สามารถไปต่อได้ โดยในที่นี้จะมาพูดถึงความสำคัญของเสาแต่ละต้น และทำไมเทรดเดอร์นั้นขาดเสาเหล่านี้ไม่ได้เลย

M1 – Method (วิธีการเทรด)
  ทุกคนต้องมีวิธีการเทรดเป็นของตัวเอง โดยวิธีการเทรดใน Forex นั้นมีค่อนข้างหลากหลายทั้ง Trend following , Mean reversion , Scalping , Breakout และอีกมากมาย ซึ่งไม่ซีเรียสว่าเราจะนำอันนั้นมาใช้ เพราะทุกวิธีการนั้นมีข้อดีที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่ว่าเทรดเดอร์ถูกจริตกับวิธีการไหนมากกว่าแค่นั้น แต่อย่างไรก็ดี วิธีการในโลกการเทรดนั้นมีทั้ง “ถูกต้อง” และ “ไม่ถูกต้อง” ซึ่งตรงนี้เทรดเดอร์ต้องระมัดระวังอย่างมากๆ อย่าไปใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง … ในวงการนี้เต็มไปด้วยของจริงและของปลอมปะปนกัน ยังมีพวกกูรูปลอมๆ มากมายที่ชอบมาโม้ว่ามีเครื่องมือเทพ สามารถทำให้รวยได้ไวๆ ซึ่งเราอย่าใช้ความโลภไปตกเป็นเหยื่อพวกนี้นะครับ … คำถามคือเราจะแยกแยะได้อย่างไรก็วิธีการไหนถูกต้อง วิธีการไหนไม่ถูกต้อง ซึ่งอยากจะแนะนำง่ายๆคือ ถ้าวิธีการไหนมันซับซ้อนเกินไป มันดูครุมเครือ ให้เปลี่ยนไปหาวิธีการใหม่ดีกว่า อย่าไปฝืนใช้มัน

M2 – Money management (การจัดการความเสี่ยง)
จากประสบการณ์ในการเทรดตลอด 5 ปีที่ผ่านมาต้องบอกว่าเสาหลักต้นนี้นั้น โคตรรรรรรรสำคัญ! เทรดเดอร์มือใหม่หลายท่านละเลิกเสาต้นนี้ ซึ่งอย่าลืมนะครับว่าการเทรดนั้นต้องอาศัย เงินทุน ถึงการเทรดได้ ถ้าเงินทุนเราหมด อาชีพการเทรดเราก็จบ เหมือนกับนักฟุตบอลที่ไม่มีลูกบอลมาเตะ ดังนั้นสิ่งสำคัญของเทรดเดอร์คือ รักษาเงินลงทุนให้ได้ การรักษาเงินลงทุนนั้นก็มีจากการจัดการความเสี่ยงที่ดี สามารถประคองพอร์ตเราให้เติบโตได้อย่างเหมาะสม

M3 – Mindset (จิตวิทยา)
  การที่เราจะประคองการเทรดให้อยู่ในมาตรฐานปกติของเราอยู่สม่ำเสมอนั้นต้องอาศัย Mindset ของจิตวิทยาที่ดี เพราะในตลาดนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์มากมายทั้ง โลภ กลัว กังวล เครียด ต่างๆ นี้ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เทรดเดอร์นำอารมณ์เข้ามาเทรด มันจะนำไปสู่หายนะของเทรดเดอร์ทุกคน ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในหมู่เทรดเดอร์มืออาชีพ ดังนั้นอาชีพเทรดเดอร์ต้องอาศัย Mindset ที่เหมาะสม เข้าใจกลยุทธ์ที่เราใช้ เข้าใจด้านมืดของตลาด ซึ่งจะสามารถอยู่รอดในตลาดแห่งนี้ได้


ทีมงาน : pantipforex.com

ทำไมเทรดเดอร์ถึงขาดทุน

ทำไมเทรดเดอร์ถึงขาดทุน

            เชื่อว่าหลายคนคงเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ … เห็นสัญญาณ ซื้อ > เข้า ซื้อ > ราคาแกว่งตัวลงเล็กน้อย > เห็นการขาดทุน > กลัวว่าจะลงต่อ > ตัดขาดทุนออกไป > ราคาเริ่มกลับมาขึ้น > วิ่งต่อไปไกล … ซึ่งเชื่อว่าเหตุการณ์มักหลอกหลอนกับมือใหม่หลายๆคน และเป็นตัวเหมือนเขาวงกตไม่ให้เทรดเดอร์ออกไปจากวังวนนี้ได้


            ความอดทน เป็นนิสัยที่สำคัญของเทรดเดอร์ที่ต้องมี เทรดเดอร์ที่เจอเหตุการณ์ข้างต้นนั้นมักไม่มีความอดทน ไม่สามารถทนต่อการขาดทุนได้ จึงทำให้ต้องยอมขาดทุน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเราต้องเข้าใจว่า “การเคลื่อนไหวของราคานั้นมีทั้งขึ้นและลง” เป็นไปไม่ได้เลยที่พอร์ตเราจะโชว์กำไรอยู่ตลอด มันต้องมีช่วงที่ขาดทุนอยู่แล้ว เป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย

            ดังนั้นเทรดเดอร์ต้องอดทนต่อการขาดทุนให้ได้ เพื่อที่จะไปเก็บกำไรในอนาคต และอีกด้านหนึ่งของความอดทนคือ “รอให้เป็น”

            เช่นเดียวกัน เทรดเดอร์ที่ยังขาดทุนก็เพราะคิดว่าการเป็นเทรดเดอร์นั้นต้องเทรดทุกวัน ซึ่ง “ไม่จริง” เทรดเดอร์มืออาชีพจะเข้าเทรดในช่วงที่คิดว่าตัวเขาได้เปรียบที่สุด มีโอกาสชนะที่สุด จึงค่อยเข้าไปเทรด บางทีสัปดาห์ไหนไม่มีสัญญาณเทรด ก็ไม่เทรด ต่างกับเทรดเดอร์มือใหม่ที่มักจะไล่หาสัญญาณเทรด พอไม่ได้เทรดเพียง 1-2 วันก็ลงแดง อยากจะเทรดให้ได้ จึงไปเปิดออเดอร์ที่ไม่เหมาะสม ทำให้ผลการเทรดนั้นออกมาแย่

            มีเทรดเดอร์มืออาชีพท่านหนึ่งที่รู้จัก คนนี้เทรดแค่เดือนละไม่กี่ครั้ง Set up ของเขาคือการเทรด Special events เท่านั้น แต่การเทรดล่ะครั้งนั้นสามารถทำกำไรให้เขามากพอเท่ากับที่เทรดเดอร์หลายคนเทรดจำนวนหลายๆ ครั้ง หลายๆ รอบ เผลอๆได้กำไรมากกว่าด้วยซ้ำ


ทีมงาน : pantipforex.com

ทริคในการจัดการอารมณ์เพื่อให้เทรดดีขึ้น (2)

ทริคในการจัดการอารมณ์เพื่อให้เทรดดีขึ้น (2)


ทริค 6 : เตรียมร่างกายให้สมบูรณ์
            มันก็เหมือนกับทุกอาชีพที่ต้องอาศัยร่างกายที่สมบูรณ์ ถึงจะสร้างประสิทธิภาพออกมาได้ดีที่สุด หากวันไหนนอนน้อย หรือไม่สบายปวดหัว จะส่งผลให้เราเกิดอารมณ์ในการเทรดเกิดขึ้นได้ง่าย ทางที่ดีควรรักษาสุขภาพของเราให้ดี เพื่อให้การเทรดนั้นอยู่ในระดับคงที่ไม่แกว่งตามอารมณ์

ทริค 7 : เทรดในสินค้าที่เราถนัด
            ในตลาด Forex นั้นมีคู่สกุลเงินมากมายให้เราเทรด แต่ละคู่สกุลเงินนั้นพฤติกรรมการเคลื่อนไหวก็จะแตกต่างกันออกไป บางสินค้าผันผวนน้อย บางสินค้าผันผวนมาก หรือบางสินค้ามักเป็นแนวโน้ม หรือบางสินค้ามักเป็น Sideway ซึ่งเทรดเดอร์บางคนถนัดกับการเทรด EUR หรือเทรดเดอร์บางคนถนัดเทรด USD อันนี้ก็แล้วแต่ความถนัดของเราว่า เราเทรดอะไรแล้วรู้สึกสบาย ไม่กดดัน ก็ให้เลือกเทรดสินค้านั้น ไม่ต้องไปฝืนเทรดในสินค้าที่เราไม่ถนัด


ทริค 8 : ทำบันทึกการเทรด และมั่นทบทวนการเทรด
            สิ่งสำคัญที่อยากจะย้ำว่าเทรดเดอร์ทุกคนต้องมีเลยคือ “บันทึกการเทรด” หรือ Trading journal ใครที่ยังคิดว่าตัวเองเทรดไม่ค่อยดีอยู่ และยังไม่เคยทำบันทึกการเทรด ให้ลองไปทำดูครับ แล้วจะเห็นความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด มันอาจฟังดูเป็นกิจกรรมที่น่าเบื่อ แต่ส่วนตัวแล้วไม่เคยเห็นเทรดเดอร์มืออาชีพท่านไหนไม่มีบันทึกการเทรด

            โดยบันทึกการเทรดนั้นจะช่วยให้เราทราบว่าการเทรดของเราเป็นอย่างไร มีตรงไหนต้องแก้ไขหรือเปล่า ทำผิดพลาดอะไรในการเทรดหรือไม่ เพื่อที่จะพัฒนาและไม่ทำสิ่งที่เคยทำผิดพลาดก่อนหน้า ถ้าปราศจากสิ่งนี้เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าเราควรแก้ไขตรงไหน หรือถ้ารู้ แต่เดี๋ยวเราก็กลับมาทำอีก เพราะเราไม่เคยทบทวนมัน

ทริค 9 : ในช่วงแพ้ติดต่อกันให้ลด Size ในการเทรด
            ในช่วงที่เทรดแพ้ติดต่อกันเทรดเดอร์ส่วนมากจะพยายามเพิ่ม Size ในการเทรด เพราะเชื่อว่าการแพ้ติดต่อกันนั้นมันไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ เดี๋ยวเราก็จะกลับมาชนะ ซึ่งการยิ่งทำอย่างนั้นจะเป็นตัวดึงอารมณ์ของเราเข้ามาเทรดด้วย เพราะมันเป็นการเพิ่มความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น เราจะกังวลเกี่ยวกับการเทรดมากขึ้น กลัว Drawdown ของพอร์ตว่าจะลึกขึ้นอีก กลัวพอร์ตแตก ความมั่นใจหายไป สุดท้ายต้องออกจากตลาด
            สิ่งที่ควรทำคือลด Size ในการเทรดดีกว่า ดึงความมั่นใจกลับมาให้ได้ก่อน ให้การเทรดนั้นกลับมาเป็นปกติให้ได้ก่อน จึงค่อยกลับมาใช้ Size การเทรดเดิม เนื่องจากอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญของการเทรด

ทีมงาน : pantipforex.com

ทริคในการจัดการอารมณ์เพื่อให้เทรดดีขึ้น (1)

ทริคในการจัดการอารมณ์เพื่อให้เทรดดีขึ้น (1)



            เทรดเดอร์มืออาชีพรู้กันดีว่า หากนำอารมณ์เข้ามามีส่วนร่วมในการเทรดแล้วนั้น ถือว่าเป็นหายนะของการเทรดเลยทีเดียว มันจะเริ่มต้นด้วยความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ และค่อยๆสะสมจนเป็นปัญหาใหญ่และสุดท้ายไม่สามารถแก้ไขได้ จนต้องออกจากตลาดไปในที่สุด ซึ่งเทรดเดอร์ทุกคนควรจะตระหนักถึงสิ่งๆนี้

            หลายคนที่พอร์ตแตกนั้นมักมาจากความผิดพลาดเล็กน้อยเพียง 1 ครั้ง ซึ่งความผิดพลาดนั้นจะนำไปสู่การแพ้ เมื่อแพ้ก็อยากเอาคืน พอเอาคืนไม่ได้ก็ขาดทุน และปล่อยให้การขาดทุนนั้นสะสมค่อยๆเติบโตเรื่อยๆ จนเป็นมะเร็งร้ายของพอร์ต ไม่สามารถแก้ไขได้ในที่สุด

            ดังนั้นเทรดเดอร์ควรจัดการอารมณ์ในการเทรดให้ดี เพื่อให้เทรดนั้นมาจากการวางแผนของเรา มาจากความตั้งใจให้มันเกิดขึ้น ไม่ใช่จากอารมณ์ของตัวเทรดเดอร์เอง มิฉะนั้นการเทรดนั้นจะเหมือนกับการพนันมากกว่า

ทริค 1 : แยกโปรแกรมดูกราฟ กับโปรแกรมเทรด ออกจากกัน
          ในช่วงวิเคราะห์กราฟ วางแผนการเทรด หรือหาสัญญาณเทรดนั้นให้เปิดโปรแกรมการดูกราฟขึ้นมา (ส่วนตัวชอบใช้ Tradingview.com) แล้วพอจะสั่งคำสั่งออเดอร์ก็เปิดโปรแกรมของทางโบรกเกอร์ขึ้นมา พอสั่งเสร็จก็ปิดโปรแกรมเทรด แล้วกลับไปเปิดโปรแกรมดูกราฟไว้คอยตรวจดูราคาเมื่อเป็นอย่างไร

            ซึ่งการทำอย่างนี้ก็เพราะว่าเราจะใช้ตัดอารมณ์ในการเห็นมูลค่าพอร์ต หรือออเดอร์ที่เราเปิด เพราะจะขึ้นลงของมูลค่าพอร์ตนั้นจะส่งผลให้เราเกิดอารมรณ์ในการเทรดเกิดขึ้น ถ้าเราแยกโปรแกรมกราฟกับโปรแกรมเทรดออกจากกันจะช่วยเรื่องตรงนี้ได้อย่างมาก


ทริค 2 : ขยับไปเทรด Time frame ที่ยาวขึ้น
            เทรดเดอร์ส่วนมากพยายามจะขยับลงไปเทรดใน Time frame ที่สั้นมากขึ้น อย่าง 5 นาที , 15 นาที เป็นต้น ซึ่งเกมส์การเทรดใน Time frame สั้นนั้นต้องอาศัยทักษะการตัดสินใจที่รวดเร็ว ไม่มีเวลาให้เทรดเดอร์คิด หรือวางแผนมาก อีกทั้งค่าธรรมเนียมในการเทรดที่มากเนื่องจากความถี่ในการเทรดนั้นเยอะ จึงไม่จำเป็นเลยที่เทรดเดอร์มือใหม่จะลงไปเล่นในเกมส์นี้ ควรเลือกเทรด Time frame ที่ยาวขึ้นอย่างน้อยสัก 240 นาที และรายวัน เป็นต้น จะช่วยให้เรามีเวลาวางแผนมากขึ้น ตัดอารมณ์ไปได้มากขึ้นอย่างมาก

 ทริค 3 : ตัดสินใจเมื่อแท่งเทียนครบแท่ง
            ความหมายในที่นี้คือ สมมติเราเทรด Time frame 240 นาที จะตัดสินใจหรือวิเคราะห์ก็ต่อเมื่อแท่งเทียนนี้ครบ 240 นาที ถ้าหากแท่งเทียนนั้นเกิดมาเพียง 100 นาที จะไม่วิเคราะห์หรือตัดสินใจใดๆเกี่ยวกับแท่งเทียนนั้น เพราะยังไม่ครบแท่ง เนื่องจากราคาสามารถเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอดเวลา

ทริค 4 : เปิดความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
            เราควรเปิด Size การเทรดให้เหมาะสมกับพอร์ตเรา ให้เรารู้สึกสบายกับมัน ไม่เครียด ไม่กังวลถ้าราคาเกิดผิดทาง เนื่องจากสิ่งที่ทำให้เทรดเดอร์เกิดอารมณ์ในการเทรดคือ Overtrade , ใช้ Leverage มากเกินไป , เปิด Position ใหญ่เกินไป  สิ่งเหล่านี้จะนำพาอารมณ์เข้ามา

            คำแนะนำสำหรับเทรดเดอร์ทุกท่านให้เปิดความเสี่ยง 1% และ 2% ต่อการเทรด ซึ่งระดับนี้เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในวงการเทรดเดอร์ แต่ถึงแม้จะทราบกันอย่างทั่วกัน แต่มีไม่กี่คนที่สามารถมีวินัยทำตามหลักการนี้ได้อย่างต่อเนื่อง

ทริค 5 : ไม่เลื่อน Stop
            เทรดเดอร์ส่วนมากพอเวลาผิดทาง ราคาลงมาใกล้จุด Stop loss ที่วางไว้ก่อนหน้า แล้วมักจะหาเหตุผลต่างๆนานา เข้าข้างตัวเอง แล้วเลื่อนจุด Stop ดังกล่าวออกไป เพื่อไม่ให้ออเดอร์นั้นโดน Stop loss ซึ่งสิ่งนี้เป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงของเทรดเดอร์เลยดีเดียว เราควรทำตามแผนของเราที่วางไว้ ผิดคือผิด ยอมรับความผิดพลาดนั้น ไม่ปล่อยให้ความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆนั้นกลายเป็นมะเร็งร้ายได้

ทีมงาน : pantipforex.com

ขจัดความไม่มั่นใจ

ขจัดความไม่มั่นใจ


            เทรดเดอร์ที่ขาดความมั่นใจในการเทรดจะนำไปสู่หายนะต่างๆของเทรดเดอร์ที่ไม่ประสบความสำเร็จนั้นพบเจอกันอยู่บ่อยๆ เมื่อไม่มั่นใจในระบบการเทรดที่ใช้ ก็จะนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด นำอารมณ์เข้ามาเทรด ไม่ทำตามแผนการเทรด ทำให้ผลการเทรดไม่คงที่ และมักติดอยู่ในวังวนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนสุดท้ายพ่ายแพ้ต่อตลาดในที่สุด


            เทรดเดอร์มักเกิดความลังเล ความสงสัยอยู่ตลอดเวลา ก็เพราะว่าอาชีพเราไปเล่นกับเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาในทิศทางใด ตลาดจะเป็นไปอย่างที่คิดหรือเปล่า จึงทำให้เทรดเดอร์มักเกิดความไม่มั่นใจอยู่ตลอดเวลา ซึ่งไม่มีใครรู้ 100% หรอกว่าตลาดจะเป็นอย่างไรในอนาคต แต่สิ่งที่เทรดเดอร์ต้องรู้คือระบบการเทรดของตัวเอง ต้องมั่นใจว่าสิ่งที่เราใช้มันดีจริง มันสามารถนำพาเราต่อสู้กับตลาดแห่งนี้ได้ … ดังนั้นหากเทรดเดอร์จะอยู่รอดในตลาด Forex แห่งนี้ได้คือต้องมั่นใจระบบที่เทรดให้ได้

            ส่วนการที่เทรดเดอร์จะมั่นใจระบบที่ใช้เทรดนั้นก็ต้องมาจากตัวเทรดเดอร์เองที่ใช้ เราเองเท่านั้นที่รู้ที่มา วิธีการต่างๆที่ใช้ หลักการที่เทรด รวมถึงผลทดสอบย้อนหลังจนทำให้เรามั่นใจว่าระบบที่เราใช้นั้นมันใช้ได้จริง ซึ่งถ้าเทรดเดอร์ไป copy หรือลอกตามเทรดเดอร์คนอื่นแล้ว ความมั่นใจตรงนี้จะหายไป เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่มั่นใจเราจะไม่ใช้ระบบนั้น


          การพัฒนาระบบเทรด
            การพัฒนาที่ดี : กระบวนการจะเกิดการพัฒนาจริงๆ เกิดขึ้น ไม่วนลูปซ้ำไปซ้ำมา เริ่มจากการลองระบบที่ใช้เทรด และเมื่อล้มเหลว ก็นำมาวิเคราะห์ เพื่อหาจุดข้อบกพร่องว่ามันผิดตรงไหน และแก้ไขมัน และนำกลับไปลองใหม่ ซึ่งกระบวนการนี้เราจะได้ระบบเทรดที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

            การพัฒนาที่ไม่ดี : จะเป็นการวนลูป ติดอยู่ในวังวน เหมือนกับเทรดเดอร์ทั่วไป ที่หาวิธีการเทรดต่างๆนานา มาลองใช้ พอไม่ดี หรือไม่เวิร์ค ก็เปลี่ยนไปใช้อันใหม่ ซึ่งกระบวนการเช่นนี้จะไม่เกิดการพัฒนาเกิดขึ้น ทำให้สุดท้ายเทรดเดอร์ล้มเลิกการเทรดไป

เครดิต : pantipforex.com