วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เทรดสัญญาณหลอก

เทรดสัญญาณหลอก

          หลายครั้งที่เทรดเดอร์โดนสัญญาณหลอกจนต้องทำให้ Stop loss หลายครั้ง แล้วไม่สามารถเทรดต่อได้ เนื่องจากเป็นรูปแบบนั้นเสียไป ทั้งรูปแบบหัวและไหล่ , Double Top , Double Bottom สามเหลี่ยมต่างๆ ซึ่งเราจะเห็นสัญญาณหลอกอยู่เป็นประจำ หากใครอยู่ในตลาดมานาน … แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในลักษณะมีวิธีแก้ไขอยู่ คือเมื่อเรา Stop loss ไปแล้ว แต่หากราคากลับมาเคลื่อนไหวในกรอบเดิมให้เราเปิด Position ใหม่ของรูปแบบเดิมที่เกิดขึ้น
เพื่อให้เกิดความชันเจนในการอธิบายมากขึ้น ตามกราฟข้างต้นราคาเคลื่อนไหวในกรอบแนวโน้มขาลง ดังเส้นคู่ขนาดสีดำ จนเมื่อราคาเกิดทะลุกรอบดังกล่าวขึ้นเป็นสัญญาณเปลี่ยนแนวโน้มจากขาลง เป็นขาขึ้น ทำให้เหล่าเทรดเดอร์มักเปิด Long ตาม แต่อย่างไรก็ดีราคากลับมาลงมาเคลื่อนไหวในกรอบแนวโน้มเดิมทำให้เทรดเดอร์ต้อง Stop loss ไป … ในกรณีนี้วิธีแก้คือ เทรดเดอร์ต้องกลับมาเปิด Short ตามแทน เพื่อที่จะเล่นแนวโน้มเดิมต่อไป
ลองนำไปประยุกต์ในการเทรดของเพื่อนๆนะครับ อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีเทรดในการต่อสู้กับตลอด Forex หวังว่าบทความที่เขียนขึ้นมาจะทำให้เทรดเดอร์สามารถอยู่รอดในตลาดและสามารถทำกำไรในระยะยาวได้

ทีมงาน pantipforex.com

ทำความเข้าใจโปรแกรมซื้อขายเบื้องต้น

ทำความเข้าใจโปรแกรมซื้อขายเบื้องต้น

ปกติโปรแกรมซื้อขายที่ใช้ในการเทรดจะมีลักษณะคล้ายๆกัน จะประกอบด้วยส่วนหลักๆก็คือ กราฟและเครื่องมือต่างๆ , คำสั่งออเดอร์ซื้อขาย , การเคลื่อนไหวของราคา (Bid-Offer) สินค้าต่างๆที่เทรด และ ข้อมูลของพอร์ต
การอ่านกราฟเบื้องต้น
หลักๆของรูปแบบกราฟที่เทรดเดอร์ส่วนมากนั้นใช้กันมีอยู่ 3 รูปแบบ คือ 1) Line graph 2) Bar graph และ 3) Candle graph
Line graph : เป็นการแสดงข้อมูลรายปิดของวันในแต่ละวันมี Plot ลงบนกราฟ โดย Line graph นั้นจะเป็นการรวบข้อมูลทั้งหมดให้แสดงเพียงข้อมูลเดียวเป็นเพียงเส้น 1 เส้น โดยจะมีประโยชน์เมื่อใช้มองภาพใหญ่ แต่จะพลาดข้อมูลหลายๆอย่างเช่น ราคาเปิด ราคาสูงสุด ต่ำสุด
Bar graph : แสดงข้อมูลทั้งหมดประกอบภายในกราฟ ทั้งข้อมูลราคาปิด ราคาปิด ราคาต่ำสุด ราคาสูงสุด ภายในวันนั้นๆ โดยส่วนมากเป็นที่นิยมในยุโรป
Candle graph : เช่นเดียวกับ Bar graph แต่จะแตกต่างตรงที่ลักษณะของกราฟที่คล้ายแท่งเทียน โดยเป็นที่นิยมในเอเชีย
ในแต่ละแท่งเทียนได้เป็นตัวแทนของ 1 ช่วงเวลาที่เราเลือกในการกำหนดที่จะแสดงบนกราฟ เช่น 1 แท่งเทียนต่อ 1 วัน หรืออาจเป็น 1 แท่งเทียนต่อ 240 นาที เป็นต้น โดยแต่ละแท่งเทียนจะแสดงข้อมูล ราคาเปิด / ปิด / สูงสุด / ต่ำสุด
แท่งเทียนจะประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก 1 ) ตัวเทียน และ 2 ) ไส้เทียน
ตัวเทียน  จะแสดงราคาเปิดและปิด ถ้าตัวเทียนเป็นสีเขียว ก็แสดงว่าราคาปิดบวก คือราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด แต่ถ้าตัวเทียนเป็นสีแดง ก็แสดงว่าราคาปิดลบ คือราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด
ไส้เทียน  จะแสดงถึงราคาสูงสุด และต่ำสุดของวัน

ตัวอย่าง Bullish Candle

ตัวอย่าง Bearish Candle

ทีมงาน pantipforex.com

การเทรดรูปแบบหัวและไหล่

การเทรดรูปแบบหัวและไหล่


เป็นที่รู้จักการดีในรูปแบบหัวและไหล่หรือ Head and shoulder ซึ่งตามหนังสือเทคนิคทุกเล่มแทบจะกว่าถึงรูปแบบนี้ทั้งสิ้น เนื่องจากเป็นที่นิยมตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยขั้นตอนในการเทรดรูปแบบนี้หลักๆมี 3 วิธีได้แก่
         1) รอจนกว่าจะยืนยันรูปแบบ : โดยจะเกิดสัญญาณให้ขายหรือเปิด Short ก็ต่อเมื่อราคาได้ทะลุเส้นคอ (Neck line) ลงมาก่อน เพื่อให้เห็นการเคลื่อนไหวที่ครบของทั้ง ไหล่ซ้าย หัว และ ไหล่ขวา เป็นการยืนยันภาพที่สมบูรณ์
2) คาดการณ์ว่าราคากำลังสร้างไหล่ขวา : แบบนี้จะเร็วกว่าแบบแรกคือ เมื่อเห็นไหล่ซ้าย และหัวแล้ว ราคากำลังทำไหล่ขวา ให้เราเริ่มสั่งคำสั่งขายตั้งแต่ราคากำลังฟอร์มตัว ไม่จำเป็นต้องรอยืนยันรูปแบบ เพื่อให้ช่วงกำไรกว้างขึ้น แต่อย่างไรก็ดีความเสี่ยงก็จะมีมากกว่าแบบแรก
3) คาดการณ์ว่าราคากำลังสร้างหัว : โดยรูปแบบนี้จะมีความเสี่ยงเยอะสุด และโอกาสเกิดขึ้นน้อยสุด แต่หากเกิดขึ้นเกิดผลตอบแทนการมากที่สุด โดยหลังจากเห็นไหล่ซ้ายแล้ว ราคากำลังสร้างหัว ให้เราเปิดคำสั่งขายในช่วงที่ราคากำลังสร้างหัวใกล้เสร็จนั่นเอง
โดยขึ้นอยู่ในตัวเทรดเดอร์เองว่ารับความเสี่ยงมากน้อยได้เพียงได้ในการเทรดรูปแบบต่างๆ ทั้งนี้อย่าลืมตั้งจุด Stoploss เพื่อป้องกันราคาเคลื่อนในทิศทางตรงกันข้าม ทั้งนี้ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถเป็นตัวช่วยให้รูปแบบนี้สมบูรณ์คือปกติปริมาณการซื้อขายในช่วงไหล่ซ้ายจะมากสุด และค่อยๆลดลงตามลำดับ

ทีมงาน pantipforex.com

การทะลุหลอก (Fail breakout)

การทะลุหลอก (Fail breakout)


มีนักวิเคราะห์กราฟอยู่ 2 กลุ่มที่คิดต่างกันในเรื่องการทะลุหรือการ Break ของราคา ในกราฟรูปแบบต่างๆ เช่นเวลาทะลุเส้นแนวโน้ม (Trend line)  โดยที่
  กลุ่มแรก คิดว่า ช่วงขณะที่เกิดการ Break ของราคาจะมีความน่าเชื่อมากในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน คือประมาณว่าช่วงที่จะทะลุแรง ๆ , เกิดแท่งเทียนขนาดใหญ่ , ATR สูงๆ หรือไม่ก็ปริมาณซื้อขายเป็นจำนวนมาก เป็นต้น โดยเหตุผลเหล่านี้มักจะเป็นการทะลุที่แท้จริงเพื่อเปลี่ยนแนวโน้ม
กลุ่มสอง คิดว่า ตรงกันข้ามกันกลุ่มแรก คือ ช่วงขณะที่เกิดการ Break ของราคาจะน่าเชื่อถือมากในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนต่ำ เช่น แท่งเทียนเป็น Doji , ATR ต่ำๆ หรือปริมาณการซื้อขายค่อนข้างน้อยกว่าปกติ เป็นต้น
ความคิด 2 ความคิดนี้เป็นเพียงความเชื่อของนักเทคนิคแต่ละกลุ่ม ไม่มีถูกผิด สิ่งที่สำคัญของเทรดเดอร์คือเพียงแค่ วางแผนกลยุทธ์ว่า ถ้าหากเกิดการทะลุจริง นั้นควรจะทำอย่างไร และถ้าหากเกิดการทะลุหลอกเกิดขึ้น ควรจะทำอย่างไรต่อ โดยควรวางแผนการเทรดให้ครอบคลุมทุกสถานการณ์ ไม่คิดเข้าข้างทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เพราะย้ำเสมอว่า เราไม่สามารถกดหนดทิศทางตลาดได้ แต่เราสามารถควบคุมสิ่งที่เราทำได้

ทีมงาน pantipforex.com

Divergence ซ้ำซ้อน

Divergence ซ้ำซ้อน


เทรดเดอร์หลายคนรู้จัก Divergence เป็นกันอย่างดีอยู่แล้ว มาทบทวนกันคร่าวๆ กันดีกว่า Bullish Divergence คือ ช่วงที่ Indicator ทำ New Low แต่ราคาไม่ทำ New Low ตาม ซึ่งเป็นสัญญาณการใกล้จบรอบขาลง ส่วนช่วง Bearish Divergence คือ ช่วงที่  Indicator ทำ New High แต่ราคาไม่ทำ New High ซึ่งเป็นสัญญาณใกล้จบรอบการขึ้น
ซึ่งเทรดเดอร์ส่วนมากใช้สัญญาณ Divergence ในการเทรดแล้วมักไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่ากัน เนื่องจากโดนสัญญาณหลอกบ่อยมาก เมื่อเกิดสัญญาณแล้วราคาไม่กลับตัวตามที่ในหนังสือเคยเขียนไว้ เดี๋ยวเราจะมาทำให้เครื่องมือนี้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยการหาสัญญาณที่เกิด Divergence 2 ครั้ง หรือ Divergence ซ้อนกัน 2 รอบ ซึ่งจะเป็นการช่วยให้โอกาสการกลับตัวของราคามีมากขึ้นกว่า Divergence ปกติ จะแสดงถึง Momentum ที่อ่อนทางสวนทางกับราคาอย่างชัดเจน ตอกย้ำการใกล้จบรอบการกลับตัว
จากกราฟตัวอย่างราคาทองในอดีต ช่วงหมายเลข 1 ราคาได้เกิดสัญญาณ Bearish Divergence กับ RSI แล้วเกิดการย่อตัวลง แต่หลังจากนั้นราคาก็ปรับตัวขึ้นต่อจนสามารถขึ้นไปทำ High ใหม่ แต่อย่างไรก็ดี RSI ไม่ได้ทำ High ใหม่ตาม จนเป็น Bearish Divergence รอบที่ 2 ซึ่งน้ำหนักจะมีมากกว่า ทำให้ราคาเกิดการกลับตัวเกิดขึ้น และเปลี่ยนเป็นขาลงตามภาพ … ลองเอาไปปรับใช้ดูในการเทรดนะครับ ไว้เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรด

ทีมงาน pantipforex.com

หลังจากการเทรดเสร็จสิ้น

สิ่งที่เราควรทำหลังจากที่การเทรดนั้นจบสิ้นไปแล้ว คือ


  1. บันทึกในการเทรด – บันทึกสิ่งต่างๆ ออกมา ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือแผนภาพ ในการเทรดที่เกิดขึ้นในวันนี้ของเรา ทุกๆออเดอร์ที่เปิด ว่าจุดเข้าออกตรงไหน ณ เวลาใด พร้อมเหตุผล
  2. ทบทวนการเทรด – ต่อจากการบันทึกคือ ควรทบทวนการเทรดของเราเพื่อดูประสิทธิภาพในการเทรดและพฤติกรรมต่างๆในการเทรดของเราเอง ว่า เราทำตามแผนไหม? , เราพลาดการเข้าออกไหม? , เกิดการเทรดที่ไม่เหมาะสมเกิดขึ้นไหม? เป็นต้น โดยการตรวจสอบพอร์ตก็สักอาทิตย์ละครั้ง ตามสมควร แต่พวกทบกวนการเทรดที่เกิดขึ้น ต้องทำทันทีทุกวัน เพื่อที่จะแก้ไขพฤติกรรมที่แย่ๆที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที และเพื่อไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคตถัดไป
  3. ประเมินความเสี่ยงการถือครองสถานะข้ามวัน (กรณีต้องถือสถานะข้ามวัน) – ถ้าคุณมีสถานะที่ถือข้ามวัน คุณจะต้องประเมินความเสี่ยงดังกล่าว เนื่องจากอาจเกิด Gap risk (ราคากระโดดเปิด Gap) เพื่อปรับให้เหมาะสม
  4. เตรียมแผนที่จะเทรดวันต่อไป
นี่เป็นสิ่งสำคัญที่เทรดเดอร์มือใหม่หลายคนมองข้าม การที่จะเทรดให้มีประสิทธิภาพได้อย่างต่อเนื่อง การทำบันทึกการเทรดในทุกๆวันเป็นสิ่งจะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จในอาชีพเทรดเดอร์ได้อย่างมั่นคง
Discipline is the bridge between goals and accomplishment.” – Jim Rohn
วินัยเป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างเป้าหมายและความสำเร็จ – จิม รอน

ทีมงาน : pantipforex.com

Swing Trading หรือ Day Trading

Swing Trading หรือ Day Trading

หนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เทรดเดอร์ไม่ประสบความสำเร็จคือการเลือกใช้วิธีการเทรดที่ไม่เหมาะสมกับตัวเอง ไม่เข้ากับบุคคลิกหรือความสะดวกของตัวเทรดเดอร์คนนั้นเอง โดยส่วนมากเรามักจะไปนั่งหาวิธีการเทรดจากบุคคลอื่นตามอินเตอร์เน็ต หรือเพื่อนๆในกลุ่มเทรด แล้วนำวิธีเทรดของเขาเหล่านั้นมาใช้ ถึงแม้คนเหล่านั้นจะใช้วิธีการดังกล่าวที่ผลตอบแทนที่ดี แต่เราไม่ควรนำวิธีการดังกล่าวมาใช้กับเรา ต้องดูว่าวิธีการเหล่านั้นมันเหมาะสมกับลักษณะนิสัยของเราด้วยหรือไม่ และต้องเข้ากับการดำเนินชีวิตประจำวันของเราอีกด้วย
การรู้ตัวเองนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่มีใครรู้ตัวเราดีเท่ากับตัวเรา เราต้องเข้าใจตัวเราก่อนเป็นอันดับแรกว่า เราเป็นเทรดเดอร์สไตล์ไหน รูปแบบวิธีใดที่เหมาะสมกับเรา

          2 สไตล์หลักในการเทรด

จริงๆแล้วสไตล์การเทรดนั้นมีหลายรูปแบบ แต่หลักๆ ขอเริ่มจากสไตล์การเทรดที่เหล่าเทรดเดอร์ส่วนมากเป็นกันคือ Day-trading และ Swing-trading
Day-trading : เป็นพวกเทรดจบในวัน ไม่ถือสถานะข้ามคืน เน้นเข้าออกเร็ว ต้องอาศัยการดูเฝ้าหน้าจอตลอดการเทรด
          Swing-trading : จะใช้ Time-frames ที่ยาวกว่า โดยจะเล่นเป็นรอบๆ ไม่จำเป็นต้องปิดสถานะในวัน สามารถถือยาวเป็นสัปดาห์ได้ ไม่ต้องนั่งดูกราฟทั้งวัน

          ตารางความแตกต่างระหว่าง Day-trader และ Swing-trader
Day-traderSwing-trader
การตัดสินใจต้องอาศัยการตัดสินบ่อยครั้ง และแต่ละครั้งต้องรวดเร็วมีเวลาในการตัดสินใจ
การลดลงของเงินทุนสะสม (Drawdown)Drawdowns ต่ำอาจต้องทนกับ Drawdowns ที่สูงและช่วงที่ราคา Pullback (เคลื่อนไหวตรงข้ามกับการเทรด) อาจทำให้ช่วงนั้นมูลค่าพอร์ตลดลง
การโฟกัสต้องโฟกัสตลอดช่วงที่เทรดไม่จำเป็นต้องโฟกัสตลอดช่วงเทรด
ความอดทนเกิดสัญญาณซื้อขายบ่อย ไม่ต้องรอสัญญาณนานต้องอาศัยความอดทนเยอะ เนื่องจากเกิดสัญญาณซื้อขายน้อยครั้ง
อารมณ์ต้องมีอารมณ์ที่มั่นคง สามารถตัดขาดทุนได้เร็วเวลาผิดทาง และต้องตั้งสติกลับมาเทรดต่อได้ (การเอาคืนในการเทรดอาจเป็นปัญหาหลัก)ต้องควบคุมอารมณ์หลังจากเปิดออเดอร์แล้ว แม้จะผิดทางต้องตั้งสติ และให้ตัดสินใจตามแผนที่วางไว้ ไม่ใช่ใช้อารมณ์ตัดสิน
ความกดดันต้องรับความกดดันอย่างมากในระหว่างการเทรด การเทรดใน Time-frame สั้น จะหาการเคลื่อนไหวของราคาค่อนข้างเร็วอยู่ตลอดค่อนข้างมีเวลาในการวางแผนในแต่ละการเทรด
คล้ายกับความชอบของแต่ละคน บางคนชอบสีฟ้า บางคนชอบสีแดง มันไม่มีผิดมีถูกหรอกในการเลือกว่าเราจะใช้วิธีแบบใด แต่วิธีที่เลือกใช้ควรเหมาะสมกับเราและสามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้อย่างต่อเนื่อง

ทีมงาน : pantipforex.com

วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ทักษะและคุณลักษณะของเทรดเดอร์ต้องมี

ทักษะและคุณลักษณะของเทรดเดอร์ต้องมี

การเทรดเป็นอาชีพเฉพาะทางและต้องใช้ความสามารถที่เฉพาะทางเช่นกัน โดยในบทความนี้จะกล่าวถึงภาพรวมรายเอียดของที่เทรดเดอร์ต้องมี โดยเราจะไม่กล่าวถึงเครื่องมือหรือวิธีในการเทรด แต่จะกล่าวถึงลักษณะนิสัยที่ต่างๆที่เทรดเดอร์ควรจะเป็น
  • การตระหนักถึงตนเอง (Self-awareness) – การรับรู้ถึงตัวเองเป็นคุณสมบัติของเทรดเดอร์มืออาชีพที่ต้องมี การรู้ถึงจุดอ่อนของตัวเอง และเรียนรู้ที่จะแก้ไขมัน และในอีกแง่หนึ่งคือ การรู้ถึงจุดแข็งของตัวเอง สามารถดึงความสามารถที่เด่นของเราออกมาใช้ สามารถเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับเราที่สุด ไม่มัวแต่ไล่ตามคนอื่น ซึ่งตรงนี้จะทำให้เทรดเดอร์ประจำความสำเร็จในการเทรด รวมถึงการใช้ชีวิตอีกด้วย
  • กระบวนการคิด (Process thinking) – เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักมุ่งเน้นไปที่ผลรับสุดท้าย หรือกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นในพอร์ต จริงๆแล้วต้องเข้าใจว่า การขาดทุนบ้างครั้งไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายหรือสิ่งที่ผิด เพราะการขาดทุนสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เช่นเดียวกัน กำไรบ้างครั้งก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะอาจจะเกิดจากดวง มากกว่าจะที่เกิดจากความตั้งใจ ซึ่งควรมองในภาพระยะยาวมากกว่า ไม่ควรไปมองเพียงผลตอบแทนที่เกิดขึ้นเพียงการครั้งเพียง 2-3 ครั้ง
  • การใช้ความรู้สึก (Sensation seeking) – หากการเทรดโดยใช้ความรู้สึก จะไม่ต่างอะไรกับการเล่นพนันนั้นเอง โดยเทรดเดอร์ที่เข้ามาในตลาดแล้วคิดว่าการเทรดนั้นง่าย อยากจะรวยเร็วๆ ซึ่งมักจะจบด้วยการขาดทุนแล้วออกจากตลาดออกไป
  • วินัย – อาชีพเทรดเดอร์จำเป็นต้องมีวินัยที่มั่นคงมาก โดยการจัดการทั้งหมดขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ไม่มีใครมาควบคุม การออกแบบชีวิต หรือออกแบบการเทรด มาจากเราทั้งสิ้น และทุกวันเทรดเดอร์ต้องทำการจัดเตรียมแผนการเทรด วิเคราะห์ตลาด ดำเนินการเทรด จากนั้นก็บันทึกการเทรด ทบกวนการเทรดและสร้างกลยุทธ์ในการเทรดของวันถัดไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งในอาชีพเทรดเดอร์ โดยมือพวกใหม่ที่คิดว่าเทรดๆไปเรื่อยๆ ไม่ต้องบันทึกหรือวางแผนอะไร มักจะไม่ประสบความสำเร็จในการเทรด
  • ความอดทน – ความอดทนถือเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายของอาชีพเทรดเดอร์เลยก็ว่าได้ เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จกล่าวในทางเดียวกันเลยว่า ความอดทนรอเพื่อหาโอกาสในการเทรดนั้นสำคัญมาก
  • อารมณที่มั่นคง – ถึงแม้บางทีเราอาจจะทำตามแผนที่วางไว้ทุกอย่าง อดทนรอจนกว่าจะเกิดสัญญาณ แต่สุดท้ายจบด้วยการขาดทุน ซึ่งการทำตามแผนที่เราวางไว้ก็ไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นที่จะยืนยันว่าเราจะชนะในการเทรดแต่ละครั้ง ในช่วงที่ขาดทุนควรจะประคองอารมณ์ให้คงที่ไว้ ไม่วอกแวก เพื่อจะกลับมาชนะในระยะยาว
  • Ego – ในช่วงที่เทรดชนะบ่อยครั้ง มักทำให้เกิด ego ในตัวเกิดขึ้น คิดว่าเราเก่ง คิดว่าเราแม่น จนเทรดมากเกินความจำเป็น ซึ่งจริงๆอาจเป็นแค่ดวงที่เกิดขึ้น ซึ่งเทรดเดอร์ต้องระวัง ณ จุด นี้เป็นอย่างยิ่งด้วย

ทีมงาน pantipforex.com

การวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม

การวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม

หากเราเข้าใจอารมณ์ของตลาดว่าในช่วงนี้อยู่ในภาวะแบบใด ระหว่างช่วงภาวะตลาดกระทิง (ขาขึ้น) หรือภาวะตลาดหมี (ขาลง) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อในการเทรดนั้นอย่างยิ่ง ยิ่งถ้าเราสามารถเข้าใจว่าในช่วงนั้นแนวโน้มมีลักษณะอย่างใด แข็งแกร่ง หรือ อ่อนแอ และกำลังจะเปลี่ยนแนวโน้ม ก็จะยิ่งช่วยให้ประสิทธิในการอ่านตลาดและส่งผลต่อการเทรดให้ดีขึ้นด้วย
ก่อนหน้าที่ได้พูดถึงเครื่องมือในการแยกแยะแนวโน้มที่ดูว่าแนวโน้มในช่วงนี้อยู่ในช่วงขาขึ้น ขาลง หรือ Sideway ในบทความนี้จะลงรายละเอียดเข้าไปอีกว่า แนวโน้มที่ดูอยู่นั้นมีความแข็งแกร่งมากเพียงใด โดยสามารถใช้วิธีเบื้องต้นในการดูความแข็งแกร่งดังกล่าวได้ 5 วิธี ที่จะช่วยให้เราเข้าใจถึงอารมณ์ตลาด ณ ช่วงเวลานั้น
            1) การดูพฤติกรรมราคา (Price action analysis)
การดูพฤติกรรมราคาเป็นหลักพื้นฐานในอธิบายการเคลื่อนไหวของพฤติกรรมราคา ในขั้นแรกเลยการดูทิศทางความแข็งแกร่งของแนวโน้มในช่วงนั้นให้ดูความราบรื่นในการขึ้นลง (Smoothness) ยกตัวอย่างเช่นในช่วงตลาด Bearish (ขาลง) รอบการลงจะราบรื่นกว่า ส่วนในช่วงราคา Rebound ในแนวโน้มขาลงนั้นจะไม่ค่อยราบรื่น (ดูจากตัวอย่างกราฟ)
อย่างต่อมาที่สำคัญคือ ช่วงขนาดการ Pullbacks ของราคา ตามรูปด้านล่างในช่วงแนวโน้มขาลงนั้น การ Pullback ของราคานั้นจะทำได้ไม่ดีนัก คือฟื้นตัวขึ้นมานิดเดียวแล้วแล้วก็อ่อนตัวลงต่อ แต่เมื่อการ Pullback นั้นเกิดผิดปกติ คือฟื้นตัวแรงกว่าปกติ ซึ่งจะเป็นสัญญาณที่อารมณ์ตลาดเริ่มเปลี่ยน อาจจะการเปลี่ยนแนวโน้มอันใกล้เกิดขึ้น
            2) ความชันของเส้น Trend line
ยิ่งความชันหรือองศาของเส้น Trend line เพิ่มมากขึ้นเท่าไร่ โมเมนตันในช่วงนั้นแสดงว่าแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น โดยความชันจะเป็นตัววัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม และอีกความหมายหนึ่งในการใช้เส้น Trend line คือเมื่อราคาเกิดการทะลุเส้นแนวโน้ม ก็จะเป็นสัญญาณเปลี่ยนแนวโน้ม
            3) ADX
ADX เป็นเครื่องมือในการวัดความเป็นแนวโน้ม คือ ADX จะไม่อธิบายว่าแนวโน้ม ณ ขณะนั้นเป็นช่วงขาขึ้น หรือขาลง แต่จะบอกว่าการพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงนั้นเป็น Trend หรือ Sideway ยิ่งค่า ADX สูงขึ้นก็จะแสดงถึงแนวโน้มในช่วงนั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่หาก ADX ลดลงก็จะแสดงถึงการอ่อนแอของแนวโน้มในช่วงนั้น
            4) เส้นค่าเฉลี่ย (MA)
การใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้น ในการวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค สามารถแยกแยะภาวะตลาดในช่วงนั้นได้ ตัวอย่างเช่น ใช้เส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน และ 100 วัน โดยเมื่อ เส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน (เส้นสั้น) ตัดเส้นค่าเฉลี่ย 100 วัน (เส้นยาว) ขึ้นจากล่างขึ้นบน ก็จะแสดงถึงภาวะตลาดที่เป็นช่วงขาขึ้น และตรงกันข้าม ถ้าเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันตัดเส้นค่าเฉลี่ย 100 วันลงมากจากบนลงล่าง ก็จะแสดงถึงเข้าสู่ภาวะตลาดขาลง
อีกอย่างหนึ่งในการใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้นในการวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้มคือ “ช่วงห่างของเส้นค่าเฉลี่ยทั้งสอง” โดยยิ่งเส้นค่าเฉลี่ย2 เส้นห่างกันมากเท่าไร่ ยิ่งแสดงถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่งในช่วงนั้นมากเท่านั้น
            5) RSI
อีกหนึ่งเครื่องมือที่เทรดเดอร์สายวิเคราะห์กราฟนิยมใช้กันมาก โดย RSI เป็น Indicator อีกตัวหนึ่งที่สามารถวัดโมเมนตัมของราคาในช่วงนั้น จะคล้ายกับ ADX แต่ RSI จะสามารถดูทิศทางประกอบได้ด้วย ซึ่งในช่วงตลาดขาขึ้น RSI จะยก High และ Low สูงขึ้น ส่วนในช่วงตลาดขาลง RSI ก็จะทำ High ต่ำลง และ Low ต่ำลง และในตลาด Sideway เจ้า RSI ก็จะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 30-70
ไม้ตายของ RSI ที่เป็นที่นิยม คือการหา Divergence เป็นช่วงที่ RSI และราคาสวนทิศทางกัน เช่น Bearish Divergence คือช่วงที่ ราคาทำ High สูงขึ้น แต่ RSI ทำ High ต่ำลง ซึ่งในลักษณะนี้เป็นการเกิด Bearish Divergence ส่วน Bullish Divergence ก็คือ ราคาทำ Low ต่ำลง ส่วน RSI ยกลงสูงขึ้น

ทักษะที่สำคัญของเทรดเดอร์คือการเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้ม และสามารถแยกแยะช่วงตลาดกระทิงและตลาดหมีได้ออก

ทีมงาน : pantipforex.com

การเตรียมตัวก่อนเทรด

การเตรียมตัวก่อนเทรด

การเตรียมความพร้อมก่อนเทรดนั้นเป็นสิ่งที่เหล่าเทรดเดอร์มืออาชีพนั้นทำกันเป็นปกติ เช่น การแผนวางในการเทรดวันพรุ่งนี้ ทบทวนผลการเทรดของวันนี้ หรือ Set เครื่องมือต่างๆให้พร้อมสำหรับรอบการเทรดถัดไป เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้การเทรดในประจำวันของเรานั้นเกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด เหมือนกับนักบิน ก่อนที่จะนำเครื่องบินออกบิน ต้องมีรายการตรวจสอบทุกครั้งก่อนออกบินกว่า 100 รายการ ... ย้ำนะครับว่าทุกครั้ง เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
         
กลางคืนก่อนเทรดอีกวันรุ่งขึ้น
- จัดเตรียมกราฟให้พร้อม : อัพเดทเครื่องมือที่จะใช้ในการเทรดในวันพรุ่งนี้ และเปิดดูวิเคราะห์ตลาดเพื่อนำไปสู่การจัดเตรียมแผนในการเทรด
- กำหนดแผนการเทรด : สร้างแผนการเทรดที่ชัดเจน จะอยู่ในรูปแบบในก็ได้ ทั้งเขียนลงในสมุด หรืออาจจะหาโหลด Template ต่างๆ ที่มีอยู่มากมายใน Internet โดยนี่จะเป็นตัวเตือนสติในการเทรดในวันพรุ่งนี้
ก่อนตลาดเปิด
   - ข่าว : ถึงแม้จะใช้ Technical ในการตัดสินใจในการเทรด แต่เราก็ควรรู้เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในโลก โดยข่าวต่างๆจะช่วงบ่งชี้ถึงอารมณ์ตลาด ณ ช่วงเวลานั้น ๆ สามารถใช้ประกอบการตัดสินใจการเทรด
การเข้าถึงข่าวสาร ณ ปัจจุบันค่อนข้างสะดวกและรวดเร็ว โดยผ่านทางอินเตอร์เน็ตจากเว็บไซต์ ต่างๆ เช่น Bloomberg ,Reuters , Market Pulse เป็นต้น
และที่สำคัญรายงานประกาศต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องติดตามทุกวัน เนื่องจากตัวเลขเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อตลาด โดยหลักๆ สามารถดูได้จาก Forexfactory ที่จะคอยบอกว่า วันนี้มีตัวเลขเศรษฐกิจอะไรประกาศบ้าง มีความสำคัญมากน้อยเพียงใด
แนะนำให้เทรดเดอร์ตั้งเว็บไซต์ไว้เป็น Bookmarked ของตัวเองเลย (หรือ Favorite bar) เพราะต้องเข้าอ่านทุกวันอยู่แล้ว

  - ตลาดที่เกี่ยวข้อง : ตลาดที่เคยกล่าวไว้ในบทความก่อนหน้าแล้วว่า ตลาดทั่วโลกนั้นมีความสัมพันธ์กัน อย่างเช่น ตลาดเอเซียส่งสัญญาณลบอย่างรุนแรง ก็มักจะส่งผลกระทบนี้ต่อไปยังยุโรป และอเมริการอีกด้วย ซึ่งเราควรดูภาพรวมของตลาดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่เราเทรด อีกทั้งพวกสินค้าโภคภัณฑ์ (พวกทอง , น้ำมัน เป็นต้น) และราคาพันธบัตร (Bonds) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนมีความสัมพันธ์กันทั้งสิ้นครับ

ทีมงาน : pantipforex.com

Time-frames ที่แตกต่าง

 Time-frames ที่แตกต่าง

Time-frames ที่แตกต่าง

การเลือกใช้ Time-frame ในการเทรดก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่จะช่วยให้เทรดเดอร์นั้นสามารถเพิ่มประสิทธิในการเทรดได้มากขึ้น การเลือกใช้ Time-frames ในการเทรดที่แตกต่างกันออกไป ผลลัพธ์ก็จะแตกต่างกันด้วยเช่นกัน โดยการเลือกใช้ Time-frames นั้นก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของตัวเทรดเดอร์เอง ว่าชอบแบบไหน สไตล์ไหน
Time-frames ยาว (Higher time-frames) – พวกรายเดือน , รายสัปดาห์ และ รายวัน โดยปกติพวกเดย์เทรดมักใช้ดู Time-frame เหล่านี้ในการมองภาพรวมของตลาด เพื่อที่คาดการณ์ทิศทางของตลาดโดยรวม ไม่เป็นใช้เป็นสัญญาณซื้อ/ขาย ส่วนพวกสวิงเทรดมักใช้ Time-frame เหล่านี้ไว้เป็นสัญญาณซื้อขาย โดย Time-frame ที่ยาว มักเหมาะกับพวกที่ไม่ค่อยมีเวลา หรือมีงานประจำทำอยู่ เนื่องจากไม่ต้องมานั่งเฝ้าหน้าจอบ่อย

ในทางทฤษฎีการเทรดใน Time-frames ใหญ่นั้นง่ายกว่าเพราะมีเวลาในการตัดสินใจค่อยข้างเยอะ แต่จริงๆ อาจไม่ใช่อย่างนั้น เพราะว่า Time-framesใหญ่นั้น ต้องอาศัยความอดทนที่สูง การรอจนกว่าจะเกิดสัญญาณ บางทีอาจรอนานเป็นสัปดาห์ อีกทั้งยังต้องเผชิญกับการแกว่งของราคาในช่วงที่ถือ Position ต้องควบคุมอารมณ์ในการเทรดให้คงที่
Time-frames สั้น (Lower Time-frames) - พวกราย 4 ชม. , รายชม. , ราย 30 นาที และราย 15 นาทีเป็นต้น โดย Time-frames ลักษณะนี้มักใช้กับพวกเดย์เทรด ใช้เทรดสั้นๆในวัน แม้ในการเทรด Time-frames สั้นจะไม่ต้องเผชิญกับการอดทนรอ แต่มักต้องเผชิญกับการเทรดมากเกินไป (over-trade) เนื่องจากเกิดสัญญาณบ่อยครั้งใน Time-frames สั้น และอาจต้องเผชิญกับการเอาคืนในการเทรด (revenge-trading) ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่เหล่าเดย์เทรดมักประสบกันบ่อยมาก
การใช้วิเคราะห์หลาย Time-frames มารวมกัน ตามหลักแล้วการวิเคราะห์ Time-frames นั้นควรเป็นแบบ Top-down approach ควรให้ความสำคัญกับ Time-frames ใหญ่ก่อน เพื่อหาทิศทางตลาดในภาพรวม ว่าตลาดอยู่ในแนวโน้มลักษณะใด (Uptrend , Downtrend หรือ Sideway) เพื่อกำหนดฝั่งในการเล่น (Long หรือ Short) แล้วจึงค่อยไปดู Time-frames ย่อย เพื่อกำหนดสัญญาณซื้อขาย

ทีมงาน : pantipforex.com

หนึ่งสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ในตลาด Forex

หนึ่งสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ในตลาด Forex

แนวคิดที่จะกล่าวต่อไปในบทความนี้ค่อนข้างสำคัญอย่างมากสำหรับเทรดเดอร์ทั้งมือใหม่และมือเก่า ต้องตระหนักถึงสิ่งๆนี้ … คือ อะไรที่เทรดเดอร์ควบคุมไม่ได้ และ อะไรที่เทรดเดอร์ควบคุมได้ … เคยรู้สึกไหมว่าราคาเคลื่อนไหวไม่ไปตามที่เราคิด แล้วก็คิดว่าตลาดแกล้งเราหรือป่าว อย่างงี้เป็นต้น

 สิ่งที่เทรดเดอร์ควบคุม “ไม่ได้” : หลายคนคิดว่าเราสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้ ซึ่งจริงๆแล้ว ผิด! ไม่มีใครที่จะสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของของราคาได้เลย พฤติกรรมเคลื่อนไหวของราคาไม่ตายตัว เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การเคลื่อนไหวทั้งหมดประกอบจากผู้เล่นหลายประเภทในตลาด ทั้งรัฐบาล , ธนาคารกลาง , Hedge fund เป็นต้น ซึ่งอย่างไปคิดว่า เราคนๆเดียวสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาได้เลย
สิ่งที่เทรดเดอร์ควบคุม “ได้” : เอาล่ะ มาพูดถึงสิ่งที่เทรดเดอร์ควบคุมกันได้บ้าง มีหลายสิ่งที่เทรดเดอร์สามารถควบคุมมันได้ และสิ่งเหล่านี้เหละจะเป็นตัวจัดการให้เทรดเดอร์ประสบความสำเร็จในอาชีพเทรดเดอร์ในระยะยาว เช่น เราสามารถเลือกสิ่งที่เราเทรดได้ , ช่วงเวลาที่จะเทรด , สามารถกำหนดจุดเข้าจุดออก , สามารถกำหนดความเสี่ยง , วางแผนกลยุทธ์ต่างๆ เป็นต้น
เมื่อไหร่ที่ควรเทรด : พวกมือใหม่หลายคนชอบคิดว่าต้องอยู่ในตลาดตลอดเวลา ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เมื่อไรก็ตามที่ไม่แน่ใจ หรือไม่รู้จะทำอะไรต่อเมื่อเห็นกราฟ ก็ควรรออยู่นอกตลาด แต่เมื่อเกิดความมั่นใจว่าเจอจังหวะที่ใช่ ก็ควรเข้าไปเทรด โดยพวกเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์แล้วจะเห็นว่า พวกเขาเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องเทรดตลอดเวลา จะเทรดก็ต่อเมื่อจุดที่เทรดนั้นโอกาสชนะนั้นมีมากกว่าแค่นั้นเอง
มันคล้ายกับว่า เมื่อเราเจอสิ่งที่ไม่ดีในชีวิตแต่เราไม่สามารถไปปรับเปลี่ยนมันได้ สิ่งที่เราเปลี่ยนได้คือตัวเราเอง ย้ำเสมอนะครับ ว่า “Don’t fight the markets

ทีมงาน : pantipforex.com

ตำนานจอกศักดิ์สิทธิ์ (Holy Grail)

ตำนานจอกศักดิ์สิทธิ์ (Holy Grail)

จอกศักดิ์สิทธิ์ (Holy Grail) คือภาชนะที่พระเยซูทรงใช้รับประทานอาหารเป็นมื้อสุดท้าย ที่เล่ากันว่ามีอำนาจวิเศษ เชื่อกันว่าถ้าใครได้ครอบครองจอกศักดิ์สิทธิ์จะมีอำนาจมากและใครที่ได้ดื่มน้ำจากจอกศักดิ์สิทธิ์จะได้เป็นอมตะ!
The holy grail of trading
มีเทรดเดอร์บางคนเชื่อว่ามี Indicator หรือ ระบบเทรด ที่สามารถทำกำไรได้ 100% หรือเครื่องมือที่สามารถเอาชนะทุกสภาพตลาด โดยส่วนมากจะเสียเวลาเป็นปี ๆ ไปกับการตามหาสิ่งเหล่านี้ คล้ายกับการตามหา Holy grail ซึ่งมันไม่มีจริงในการเทรด ไม่มีระบบเทรดที่ดีที่สุด ไม่มีเครื่องมือที่ดีที่สุด ดังนั้นการที่เรารู้ว่า Holy grail สำหรับการเทรดนั้นไม่มีจริง จะช่วยให้เราเดินหน้าไปอีกก้าวสู่การเป็นเทรดเดอร์ที่มีประสิทธิภาพ
ความเชื่อเหล่านี้ บางทีคล้ายกับเชื่อเรื่องพ่อมดหมอผี ที่เชื่อว่า คนเหล่านี้สามารถช่วยเหลือรักษาโรคภัยไข้เจ็บ หรือทำนายอนาคตเราได้ ซึ่งความจริงแล้วมันไม่มีจริง เป็นเหมือนกุศโลบายไว้หลอก ผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอหรืองมงาย
ที่เกิดขึ้นก็เพราะว่ามนุษย์เรามีอารมณ์ความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง ไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนไปเท่าใด สังคมจะพัฒนาขึ้นไปขนาดนั้น พื้นฐานจิตใจมนุษย์ก็จะมีอารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้อยู่ด้วยไปตลอด ถ้าเปรียบเทียบกับการเทรด ก็คือนักลงทุนหน้าใหม่ๆ ที่เพิ่งเข้าตลาดมา ยังไม่มีประสบการณ์ และคนเหล่านี้ในช่วงแรกก็จะตามหาเครื่องมือที่ดีที่สุดที่มันไม่มีจริงนั่นเอง
Product แต่ละตัวมีพฤติกรรมการเคลื่อนไหวไม่เหมือนกัน การที่จะหวังใช้เพียงเครื่องมือเดียวและสามารถชนะทุก product มันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นแทนที่จะเสียเวลาไปกับการหาระบบเทรด หรือคิดค้น Indicator ที่เทพระดับพระกาฬนั้น สู้เอาเวลาไปศึกษาการเคลื่อนไหวราคาของ product แต่ละตัวว่าเหมาะสมกับเครื่องมือประเภทไหน ต้องลงทุนอย่างไร หรือศึกษาระบบเทรดว่าแบบไหนจะเหมาะสมกับสภาพตลาดแบบใดกันดีกว่า

ทีมงาน : pantipforex.com

Multiple time frame analysis

Multiple time frame analysis

การวิเคราะห์กราฟในหลายๆ Time frame จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเทรดของเราให้ดีขึ้น เนื่องจากสามารถเข้าใจถึงภาพใหญ่ ว่าควรเล่นฝั่งไหน และใช้ภาพเล็กในการกำหนดจุดเข้าจุดออก
Q : ควรเลือกใช้ Time frame อะไรดีในการเทรด ?
A : อะไรก็ได้ที่เหมาะกับเรา เข้ากับลักษณะการใช้ชีวิตของเรา บางคนมีเวลาดูบ่อย และเป็นคนชอบเล่นสั้นๆ ก็ใช้ 5,15,30 นาทีก็ว่าไป หรือบางคนไม่ชอบดูบ่อยและไม่ชอบเทรดบ่อยก็จะใช้ราย 120,240 หรือรายวัน โดยการเลือกนั้นควรเหมาะสมกับลักษณะนิสัยและความสะดวกที่เปิดดูกราฟแล้วทำตามแผนในการเทรดของเทรดเดอร์แต่ละคน
Q : ทำไมต้องดูหลายๆ Time frame
A : เพื่อให้การวิเคราะห์มีมิติมากขึ้น มองภาพได้กว้างมากขึ้น สามารถหากลยุทธ์ในการเข้าออกได้มีประสิทธิมากขึ้น กว่าการนั่งดูเพียง Time frame เดียว เหมือกับเรามีข้อมูลมากขึ้นก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการวิเคราะห์มากกว่า
Q : แล้ววิธีในการดูหลาย Time frame ละต้องทำไง
A : เทรดเดอร์มักใช้การวิเคราะห์แบบ Top-down analysis ในการดู ก็คือดู time frame จากใหญ่ไปเล็ก เช่น Weekly > Daily > 240 min > 60 min อะไรอย่างงี้ จะไม่วิเคราะห์แบบ Bottom-up เนื่องจากควรมองภาพใหญ่ก่อน ค่อยไปเจาะดูภาพย่อย
Q : ทำไมถึงการดูแบบ Bottom-up ถึงไม่เวิร์ค
A : ภาพใหญ่นั้นค่อนข้างมีน้ำหนักกว่าภาพเล็กนั่นเอง

ทีมงาน : pantipforex.com

Throwback/ Pullback


ThrowbackPullback 
ThrowbackPullbackเป็นรูปแบบการดึงกลับของราคาหลังทะลุผ่านแนวรับ/แนวต้าน แล้วราคาวิ่งตามแนวโน้มเดิมต่อ
ส่วนมากเทรดเดอร์ที่เพิ่งเข้าตลาด จะไม่ค่อยชอบรูปแบบนี้ เพราะโดนหลอกบ่อย เนื่องจากคิดว่าวิเคราะห์ผิดทาง เมื่อเห็นราคาทะลุผ่านแนวรับ/แนวต้านแล้วถอยกลับ ไม่วิ่งยาวเหมือนที่คิดไว้ จากนั้นรีบCut loss หรือรีบออกของก่อน แต่หลังปิดสถานะไปแล้วราคาดันวิ่งไปต่อตามที่คิดไว้แต่แรก
ในทฤษฎีเคยเจอว่า Throwbacks/Pullbacks จะเกิดอยู่ประมาณ 20% ของการ Break แต่โดยส่วนมากที่เกิดขึ้นนั้นน่าจะเกือบ50% เลยทีเดียว ซึ่งทั้ง2 รูปแบบเป็นดังนี้ครับ
Pullback (ขึ้นเพื่อลงต่อ) : เกิดขึ้นในแนวโน้มขาลง โดยเมื่อราคาทะลุผ่านแนวรับลงไปแล้ว ถูกดึงขึ้นมาไปทสดอบแนวรับที่เพิ่งจะทะลุไป แล้วจึงค่อยปรับตัวลงต่อ
Throwback (ย่อเพื่อขึ้นต่อ) : ตรงข้ามกับ Pullback คือเกิดขึ้นในแนวโน้มขาขึ้น โดยเมื่อราคาทะลุผ่านแนวต้านขึ้นไป หลังจากนั้นมีการกดราคาลงมาเทสแนวต้านเดิม แล้วค่อยวิ่งขึ้นไปต่อ
(หลักการจำง่ายๆ คือ Pull back เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุลง ส่วน Throwback เกิดขึ้นเมื่อราคาต้องทะลุขึ้น)
ลองเอาไปประยุกต์ในการเทรดกันดูนะครับ

ทีมงาน : pantipforex.com

เครื่องมือและแนวคิดในการวิเคราะห์กราฟ

เครื่องมือและแนวคิดในการวิเคราะห์กราฟ


หลังจากเราเลือกสไตล์การเทรดที่เหมาะสมกับเราแล้ว เราก็จะต้องเลือกเครื่องมือในการเทรดต่างๆ เปรียบเสมือนกับทหารเวลาออกรบ จะใช้ปืนที่แตกต่างกันออกไป แต่ละปืนก็มีข้อดี ข้อเสียไม่เหมือนกัน แต่สุดท้ายขึ้นอยู่กับว่าทหารคนนั้นชอบใช้ปืนแบบใด เช่น ปืนกรน – ยิงได้เยอะ คล่องตัว , ปืนยาว – ยิงได้ทีละนัด แต่แม่นยำ เป็นต้น
เครื่องมือการวิเคราะห์กราฟหลักๆจะประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1) วิเคราะห์จากพฤติกรรมราคา (Price action) และ 2) วิเคราะห์จาก Indicators ต่างๆ
พฤติกรรมราคา (Price action) : การวิเคราะห์พฤติกรรมราคานั้น คือ การดูการเคลื่อนไหวของราคาในวันนั้น หรือในอดีต ผ่านการดูกราฟอย่างเดียว ทั้งการวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียน การเกิดรูปแบบต่างๆ เช่น รูปแบบสามเหลี่ยม รูปแบบหัวและไหล่ เป็นต้น เพื่อจะหาข้อมูลเหล่านี้ไปประกอบการตัดสินใจในการเทรด โดยเบื้องหลังการวิเคราะห์นี้คือจะเชื่อว่า รูปแบบที่เกิดขึ้นในอดีต มักจะซ้ำและเกิดขึ้นในอนาคต เพราะว่า คนเรานั้นมีความโลภ และความกลัว ตลอดไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัย

Indicators : เป็นการใช้ข้อมูลของราคามาแปลง ผ่านการใช้สูตรต่างๆ ที่เหมาะสม และนำมาแสดงบนกราฟ โดย Indicators นั้นถือเป็นหนึ่งเครื่องมือหลักในการวิเคราะห์ โดยส่วนมาก Indicator จะนำไป Plot ในส่วนด้านล่างของกราฟ เช่นพวก RSI , MACD เป็นต้น แต่มีบางส่วนที่ Plot ควบคู่กับกราฟ เช่น Bollinger Bands , เส้นค่าเฉลี่ย เป็นต้น
โดย Indicators นั้นก็สามารถแบ่งได้ออกเป็นหลายประเภท การสูตรการคำนวณที่แตกต่างกันออกไป ทำให้คุณลักษณะของแต่ละ Indicator ต่างกัน นำไปสู่วิธีการใช้ที่แตกต่างกัน ปกติเทรดเดอร์จะเลือก Indicator ที่เหมาะสมกับตัวเอง และสภาพตลาดมาใช้ในการวิเคราะห์
ยังมีเครื่องมือการวิเคราะห์อื่นๆอีกมามากมาย ที่สามารถใช้ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์พฤติกรรมราคาและการดู Indicator ทั้งอย่างการใช้แนวรับ แนวต้าน , เส้น Trend line หรือ Channels , Fibonacci tool, Gan fan และ Andrew’s pitchfork. เป็นต้น

ทีมงาน : pantipforex.com